( เล่าเรื่อง ) ไปดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่นแบบขับรถเอง 2018
ทริปนี้เริ่มที่อยากจะไปดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่น โดยมีโจทย์คือต้องการขับรถเที่ยวเอง เพราะการนั่งรถไฟจะไม่เห็นวิวฉ่ำเท่า…

ทริปนี้เริ่มต้นที่ความอยากจะไปดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่น โดยมีโจทย์ว่าอยากจะขับรถเที่ยว เพราะการนั่งรถไฟนั้นจะไม่เห็นวิวจนฉ่ำตาเท่าการขับรถเอง บางสถานที่ท่องเที่ยวรถไฟก็เข้าไม่ถึง ต้องต่อรถบัสเข้าไป ซึ่งดูจะไม่สะดวกต่อสมาชิกทัวร์ ที่ประกอบด้วยวัยรุ่น 1 คน และผู้ใหญ่ (50+) อีก 4 คน และจากประสบการณ์ในการพาผู้ใหญ่แบกกระเป๋าเดินทางวิ่งขึ้นลงสถานีรถไฟให้ทันเวลา ถือเป็นความท้าทายที่ไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไหร่
เตรียมตัวเรื่องรถ
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่วางแผนจะขับรถเที่ยวในต่างประเทศ เลยต้องเริ่มจากหาข้อมูลเรื่องการขับรถก่อน แล้วหารถเช่า และไปทำใบขับขี่สากล การขับรถนั้นขับพวงมาลัยขวาเหมือนเมืองไทย กฎหมายและคำแนะนำส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องรู้นั้นมีบอกตามเว็บเช่ารถอยู่แล้ว ซึ่งรถนี่สามารถไปจองในงานท่องเที่ยวใหญ่ๆ หรือจองในเว็บเช่ารถของญี่ปุ่นเลยก็ได้ เจ้าดังๆก็มีพวก Toyota rent-a-car, Nippon rent-a-car เป็นต้น แล้วเดี๋ยวนี้เว็บไซต์ก็เป็นภาษาไทยด้วย ทำให้ยิ่งทุกอย่างง่ายขึ้นไปอีก ควรเลือกขนาดรถให้เหมาะกับจำนวนสมาชิก เพราะอย่างทริปนี้ไป 5 คน เช่ารถ Toyota VELLFIRE มีกระเป๋าใบใหญ่ 3 ใบเล็ก 2 ก็เต็มคัน(แบบนั่งสบาย)แล้ว แต่ยังพอเหลือที่วางของที่ซื้อมาเพิ่มอยู่นะ

เรื่องของราคา ในงานท่องเที่ยวจะคุ้มกว่าหน่อยตรงที่ในงานจะมีโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่จะคืน Cashback หรือใช้ Point ต่างๆเป็นส่วนลด แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่อง Exchange rate กับ Fee อีก 2–3% ของยอดชำระในวันที่เดินทางจริง ควรกดราคาแบบจองในเว็บไปเทียบด้วยเผื่อบางเจ้าคิดแพงกว่า แล้วก็อย่าลืมซื้อประกันภัยในกรณีที่ชนหรือมีปัญหาอะไร จะได้ไม่โดนปรับเพิ่ม (ประกันไม่รวมค่าปรับที่เราทำผิดกฏหมายนะ) ประกันจะมีให้เลือกเลยตอนจอง สามารถบอกเจ้าหน้าที่ได้เลย ตอนจองที่งาน ได้ราคาอยู่ที่ประมาณ 46,000 บาท จองรถ Toyota รุ่น VELLFIRE Hybrid ระยะเวลา 8 วัน + ประกันแบบ Full Coverage ส่วนถ้าจองบนเว็บแล้วไปจ่ายตอนรับรถที่ญี่ปุ่นจำได้ว่าราคาประมาณ 162,000 JPY
ใบขับที่สากล ใช้เวลาทำไม่นาน เจ้าหน้าที่ขนส่งบอกว่าไม่ควรไปวันจันทร์ ควรไปทำวันอื่นๆช่วงบ่าย คนจะน้อย ใครใบขับขี่ยังเป็นแบบชั่วคราว 2 ปีอยู่ ถ้าเกิน 1 ปีแล้วสามารถไปขอเปลี่ยนเป็น 5 ปีได้เลย แล้วค่อยเอาไปทำใบขับขี่สากล เสียค่าทำ 505 บาทต่อใบ มีอายุ 1 ปี ไม่ต้องอบรม เตรียมเอกสารตามนี้
ขับรถในญี่ปุ่นมีอีกเรื่องที่ต้องจ่ายเงินคือทางด่วน มันจะมีให้เช่าบัตร ETC ด้วย (คล้ายๆ EasyPass บ้านเรา) เช่าบัตรไปก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินค่าทางด่วนทีเดียวตอนไปคืนรถ ค่าเช่าบัตร 324 JPY แนะนำใช้เช่าไปเลย เพราะว่าถ้าไม่มีบัตร ต้องกดโน่นนี่เองตรงด่าน ก็อาจจะทำให้งงเพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น เข้าช่องอัตโนมัติไปเถอะ ง่ายกว่า หรือถ้าใช้ทางด่วนเยอะๆมันจะมี Expressway Pass ให้ซื้อราคาเริ่มที่ 20,000 JPY ใช้ได้ 7 วัน ควรทำแพลนก่อนว่าจะไปไหนบ้าง ขับยังไง ซื้อพาสแล้วคุ้มไหม พาสไหนจะคุ้มกว่ากัน ทริปนี้ดูแล้วไม่คุ้ม เพราะใช้เยอะแค่ตอนขาขึ้นจาก Tokyo ขาลงขับเลาะเขาดูวิวมาเรื่อยๆ กับขากลับที่ไปเที่ยว Kamakura ก็เลยไม่ได้ซื้อ

อีกอย่างคือแอพช่วยบอกตำแหน่งตัวจับความเร็ว แนะนำให้มีไว้ อุ่นใจดี กับดูคลิปนี้ไปก่อน เขาแนะนำดีมากๆ ใช้งานได้จริงตอนไปขับ ส่วนใครที่ไปหน้าหนาวแล้วมีหิมะตก อาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการขับรถในถนนที่มีหิมะไปด้วย รายละเอียดอื่นๆตอนไปขับจริงขอเล่าต่อข้างล่าง
วางแผนที่เที่ยว
ได้รถแล้วจะไปไหนดีล่ะ ? ไปดูใบไม้แดงไง ! ก่อนอื่นต้องไปหาก่อนว่ามันจะแดงช่วงไหน วันที่เท่าไหร่ มันจะมีพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีให้อยู่ แล้วแต่ดวงว่าเจ้าไหนจะแม่น เจ้าไหนจะมั่ว แต่มันจะแดงไล่จากทางตอนเหนือของประเทศลงมาเรื่อยๆอยู่แล้ว (ยกเว้นที่สูงอาจจะแดงก่อน) รอบนี้ที่ไปคือไปโซน Tohoku เริ่มจากเมือง Yamagata แล้วไล่ลงมาเรื่อยๆ จริงๆอยากเริ่มจาก Aomori แต่วันไม่ลงตัวเลยต้องตัดออก ส่วนพยากรณ์อากาศก็เล็งๆไปด้วย อย่างทริปนี้เจอฝนบ่อยมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะจองไปแล้ว ถือว่าเป็นดวงของแต่ละคน แนะนำให้ทำ Plan B เผื่อฝนตกไว้ด้วยก็ดี

ช่วงใบไม้แดงนี่คนญี่ปุ่นเองก็เที่ยวเหมือนกัน แนะนำให้จองทุกอย่างตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่งั้นจะเต็ม พลาดมาแล้ว พวกโรงแรมที่ถูกและดี คือจะหาจองได้ยากไปเลย
ที่เที่ยวต่างๆที่ทริปนี้แวะคือตามอารมณ์มาก ตามใจคนอยากไป อันนี้เคยไปแล้วคิดว่าไม่ว้าวก็ไม่ไป อันนี้เคยไปแล้วดีอยากไปอีกก็แวะ อันนั้นต้องไปไกลหน่อยแต่ยังไม่เคยไปก็จะไปเพราะอยากไป ไม่ค่อยอยากให้ทำตามถ้าเที่ยวแบบประหยัดงบ ควรทำการบ้านดีๆก่อน เพื่อความคุ้มค่ามากที่สุด แต่รอบนี้เที่ยวแบบตามใจคนอยากไป ก็จะไปใครจะทำไม 555 คนเขียนเป็นลูกมือ ก็ทำหน้าที่ตามคำสั่งไป แล้วก็แนะนำว่าควรหาข้อมูลเกี่ยวกับที่เที่ยวไปด้วย เพราะไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษ หรือไปยืนอ่านป้ายก็จะลำบาก ยิ่งเป็นวัด ปราสาท ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มาเนี่ย ถ้าไปเดินๆดูๆแล้วไม่รู้ข้อมูลหรือประวัติจะไม่ค่อยอินเลย เหมือนเดินผ่านๆ ถ่ายรูปสวยๆ แล้วก็จบไป รู้สึกเสียดายค่าเข้า ถ้ารู้ว่าอันนี้คืออะไร ทำอะไร เป็นอะไร ทำไมสร้าง แบบนี้จะรู้สึกสนุกและน่าสนใจกว่ามาก แต่ถ้าเน้นตลก เฮฮาแบบดูเทยเที่ยวไทยก็ไม่ว่ากัน 555
แพลนของคราวนี้คือนั่งเครื่องไปลง Tokyo แล้วขับรถจากสนามบิน Haneda ขึ้นไป Yamagata เลย แล้วค่อยๆไล่ลงมา Fukushima, Tochigi แล้วคืนรถที่ Tokyo จริงๆนั่งเครื่องบินไปลง Sendai แล้วเช่ารถขับจากที่นั่นก็ได้นะ ต้องลองคำนวนราคาดูว่าอันไหนคุ้มกว่า (ค่าน้ำมัน + ค่าทางด่วน เทียบกับค่าเครื่องบิน)

ตัวช่วยที่ดีคือหลังจากที่วางแผนคร่าวๆได้แล้วคือแอพ Google Trips ซึ่งช่วยให้เราสามารถลงรายละเอียดการจองทั้งหมดไว้ในแอพได้ เลือกว่าวันไหนเราอยู่เมืองไหน จะไปเที่ยวที่ไหน แอพก็จะมีตัวเลือกที่เทียวสำคัญในละแวกที่เราเที่ยวอยู่วันนั้นแนะนำให้เลย แล้วยัง Save Offline ไว้ได้อีกด้วย ทำให้เราจัดการทริปของเราได้ง่ายขึ้นมาก
การขับรถแนะนำว่าไม่ควรเกิน 200 กม./วัน หรือตามความสามารถของคนขับจะไหว และขอสารภาพก่อนเริ่มว่า คราวนี้ที่ไปเที่ยวคือไปช้าไปประมาณอาทิตย์นึง เพราะฉะนั้นบางโซนใบไม้แดงก็จะร่วงไปหมดแล้ว เหลือแต่ก้านๆแห้งๆเลยแหละ
Day 1 : Bangkok - Haneda - Zao Onsen, Yamagata
หลังจากลงเครื่องก็ทำการเข้าประเทศตามปกติ จากนั้นก็ไปเอารถ บ่นหน่อยว่าสายการบินป้าม่วงจอดไกลมาก ไม่รู้ว่าจงใจไหม ขาออกจากกทม.ก็ออก Gate ไกลที่สุด ลง Haneda ก็ยังจอดไกลสุด เดินจนเหนื่อยเลยแหละ ออกจากโซน Arrival ก็จะเจอเคาน์เตอร์รถเช่าอยู่ข้างหน้า ติดกับเคาน์เตอร์จองรถบัสเลย บอกพนักงานว่าจองรถมา เอาใบจองให้พนักงานดู พนักงานก็จะโทรไปเรียกให้ผู้ให้บริการรถของเรามารับ เขาจะมีแผนที่ว่าให้ไปรอที่ไหน เราก็ไปตามนั้น สักพักรถตู้ก็จะมารับเราไปที่รับรถอีกที รับรถก็เซ็นเอกสาร ตรวจสภาพรถ ดูรอยต่างๆว่าตรงไหนมีอยู่แล้วหรือเปล่า เขาก็จะวงๆใส่เล่มที่อยู่กับรถ แล้วพนักงานก็ปล่อยเราออกสู่โลกกว้างโดยบอกแค่ ออกจากที่รับรถเลี้ยวช่องนี้นะ ระวังด้วยหล่ะ แล้วก็บ้ายบาย

รถเช่าทุกคันมี Navigator ตอนจองว่าเอาภาษาอังกฤษ แต่ตอนตรวจรถยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่เลย อย่าลืมเช็ค เพราะว่ามันสำคัญมาก ต้องใช้มันนำทางตลอดทริปเลยนะ ถึงมันจะไม่ได้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่สิ่งที่จำเป็นก็เป็นภาษาอังกฤษให้เราอยู่ วิธีใช้ก็เพียงแค่กดเบอร์ของที่หมาย หรือ MAPCODE รถก็จะนำทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำ (MAPCODE จะแม่นและง่ายกว่า เข้าไปทำได้ที่นี่ ถ้ากรอกเบอร์โทรศัพท์มักจะมีตัวเลือกมาให้เลือกหลายอันว่าจะไปไหน แล้วตัวเลือกจะเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้เราสับสนได้) ความฉลาดของ Navigator บนรถก็คือ รู้ว่าถนนไหนปิด ถนนไหนไปได้ ไปไม่ได้ ข้างหน้ามีทำถนน ปิดเลนไหนบ้าง และรู้ตำแหน่งถึงแม้เราอยู่ในอุโมงค์ Google Maps ต้องยอมแพ้ไปเลย แต่ข้อเสียคือเราจะไม่สามารถแก้จุดหมายได้ ถ้ารถเคลื่อนที่อยู่ ต้องหาที่จอดข้างทางแล้วค่อยกดเปลี่ยน
เริ่มขับไปสักพักจะเรื่มชินกับวัฒนธรรมการขับรถของชาวญี่ปุ่น ที่ถึงแม้ที่ถนนจะเขียนกำหนดความเร็วไว้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครทำตาม บางทีขับเร็วกว่าบ้านเราอีก รถบรรทุกส่งของบางคันคือ 120+ km/h เลย แล้วก็ชอบมาเบรกหนักๆหน้าไฟแดง หน้าจะทิ่มหลายรอบอยู่ วิธีที่ดีคือขับ sync ความเร็วกับคันข้างหน้าไป รีบก็เลนขวา มีแอพก็เปิดไว้ มันจะเตือนว่าข้างหน้ามีจับความเร็วไหม ซึ่งมีหลายระบบมาก ไปตามอ่านได้ที่นี่ เอาง่ายๆก็คือ N-System จับแต่ป้ายทะเบียนไม่จับความเร็ว แต่อย่างอื่นจับความเร็วนะ ชะลอหน่อย

ทุกอย่างพร้อมก็ขึ้นทางด่วนยิงยาวไป Yamagata เลย มันจะมีจุดแวะพักรถตลอดทาง ถ้าดูในแผนที่จะเห็นว่าเป็น SA (Service Area) หรือ PA (Parking Area) ซึ่ง SA เนี่ย จะใหญ่กว่า PA มีร้านอาหาร ร้านขายของฝาก บริการน้ำดิ่ม ห้องน้ำ ปั้มน้ำมัน อยู่บนทางด่วนเลย ไม่ต้องวนออกมาเข้าเมือง ถือเป็นอีกหนึ่งความสะดวกของทางด่วนญี่ปุ่น แต่ก็อย่างว่า ค่าทางด่วนแพงมากเมื่อเทียบกับบ้านเรา

ขับไปเรื่อยๆก็จะเห็นตึกน้อยลง ภูเขาและต้นไม้เยอะขึ้น พอขึ้นเขาก็จะเริ่มเห็นต้นไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดง (แต่พอเป็นคนขับก็ถ่ายรูปไม่ได้) สุดท้ายเราก็ถึงที่หมาย Zao Plaza Hotel หลังจากเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนยาวไกลกว่า 12 ชั่วโมง ร่างกายก็ต้องการการพักผ่อนที่ดี หลังจาก Check-in ก็พบว่า ทั้งโรงแรมมีแค่กลุ่มเรา กับคนญี่ปุ่นที่พักอยู่อีก 1 คน สงสัยเหมือนกันว่า คือยังไม่ถึงหน้าเที่ยวเขาใช่ไหม หรือเรามาช้าไป คนถึงน้อย แต่ก็ดีที่โรงแรมก็จะกลายเป็นส่วนตัวของเราเลย รวมถึงออนเซ็นกลางแจ้งด้วย

จริงๆแล้วมีที่เที่ยวใกล้ๆที่พักด้วย มี Ropeway ให้ขึ้นชมวิว (เสียเงิน) ถนนร้านของฝากให้เดิน แต่อากาศหนาวมาก (~5°C) และหมอกลงจัด ออกไปคงไม่เห็นอะไร และรู้สึกเหนื่อยล้ากันทุกคน เลยถือโอกาสพักผ่อนกับแช่ออนเซ็นให้สบายดีกว่า มื้อเย็นก็จองมาพร้อมห้องของโรงแรมเลยก็สบายไปวันนี้


Day 2 : Zao Onsen — Ginzan Onsen — Yamagata
วันนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ เช้าๆก็ยังหมอกหนา ฟ้าดูครึ้มๆ ลงจากเขามาก็เลยแวะร้านของสด ผัก ผลไม้ ที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนขับขึ้นไปโรงแรม ว่าวันนี้จะแวะดูสักหน่อย ได้แอปเปิ้ลกับองุ่นมาเป็นเสบียง แล้วขับรถต่อไป Ginzan Onsen กว่าจะถึงก็ใกล้เที่ยงแล้ว ฝนดันตกซะนี่ เลยแวะร้านขนมของฝากก่อน ไหนๆมีร้านอาหารในนั้นพอดีเลยกินรอฝนหยุดซะเลย ฝนเบาลงเลยขับต่อไปเที่ยว Ginzan Onsen ที่ Tourist Infomation มีแผนที่ร้านเป็นภาษาไทยให้ด้วย ก็เดินวนๆดู มีทางเดินให้ Trekking ไปดูเหมือง แต่ฝนตกเลยไม่ได้เข้าไป ของฝากที่ร้านที่แวะกินข้าวราคาถูกกว่า ฝนตกหนักขึ้น สู้ฝนไม่ไหว เลยต้องขับกลับลงมาเข้าเมือง ฝนตกแบบนี้ไปเที่ยวกลางแจ้งไม่ได้อยู่แล้ว เลยแวะ Supermaket ให้เดินเล่นแก้เหงากันไป กลับถึงโรงแรมก็ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

ก่อนเข้าถึงเมืองน้ำมันเหลืออยู่เกือบครึ่งถัง เลยแวะเติมน้ำมันกันหน่อย ปั้มน้ำมันจะมีแบบที่เขาเติมให้ กับเราเติมเอง ซึ่งแบบที่เราเติมเองจะถูกกว่า มันจะเป็นช่องเขียนว่า セルフ (Self) เบนซินจะเรียกว่า レギュラー (Regular สีแดง) เต็มถังเรียกว่า 満タン (Mantan) ราคาตอนที่ไปอยู่ที่ประมาณ 150 - 160 JPY/L กดใน Google Maps ไปก่อนได้ว่าเราเดินทางทั้งหมดกี่กิโล แล้วรถที่เช่ากินน้ำมันเท่าไหร่ จะได้เตรียมเงินไปพอ อย่าง VELLFIRE ที่เช่าไปขับได้ประมาณ 12 Km/L วิธีเติมแบบชัดๆหาดูได้ใน Youtube อีกนิดนึงคือบางที่เติมปั้มมันจะไม่ทอนเงิน จะมีสลิปออกมาแล้วมีบาร์โค้ด ให้เราเดินหาเครื่องทอนเงิน มันจะมีตัวอ่านบาร์โค้ดอยู่ พอเอาไปส่อง เงินก็จะไหลออกมา แล้วราคาน้ำมันหน้าปั้มบางที่จะเป็นราคาที่สำหรับบัตรสมาชิกหรือบัตรของเขา ถ้าเป็นเงินสดจะแพงกว่า ราคาน้ำมันสามารถอัพเดทได้ตลอดเวลา เติมเสร็จแล้วออกจากปั้ม ราคาที่ป้ายหน้าปั้มขึ้นต่อหน้าก็เจอมาแล้ว

คืนนี้นอน Yamagata Grand Hotel แต่ไม่ได้ซื้อมื้อเย็นไว้ เลยต้องไปหาอะไรกินเอง แนะนำแอพ 食べログ (Tabelog) มันจะเป็นคล้ายๆ Wongnai ของบ้านเรา แล้วรีวิวค่อนข้างเชื่อถือได้ มีราคาประมาณต่อหัวบอก ให้กดเรียงตามคะแนน หรือเปิดเป็นแผนที่ที่ใกล้เราก็ได้ แอพเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่เดาๆได้ว่ากดอันไหนคืออะไร มีเว็บเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ อีกอย่างที่แนะนำคือกันพลาดเผื่อร้านเต็ม ให้ Front ของโรงแรมช่วยโทรถามหรือจองให้ได้เลย แล้วเราก็ไปให้ตรงเวลานัด
ร้านอาหารบางร้านคือแอพ Google Translate จำเป็นมาก เพราะไม่มีรูป เราก็จะใช้ Translate แปลเอาก็ได้ หรือเปิดรูปใน Tabelog / Google Maps ที่มีคนรีวิวไว้แล้วก็จิ้มบอกเขาเลยว่าเอาอันนี้ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก

Day 3 : Yamagata — Urabandai
วันนี้จะลงจาก Yamagata ไป Urabandai โดยผ่านไปเมือง Fukushima เพื่อเข้าสู่ Urabandai โดยเส้นทาง Bandai Azuma Skyline แวะซื้อของว่าง น้ำ ขนมปังก่อนเข้าสู่เส้นทาง Bandai Azuma Skyline จุดแรกที่จะไปคือ Azuma Kogen Skyland คิดว่าตามรีวิวไป ข้างบนจะมีที่นั่งกิน ชมวิวสวยๆ ลางไม่ดีเริ่มตรงที่ทางเลี้ยวแยกเข้าสู่ Skyland เห็นใบไม้มันร่วงหมด แบบร่วงหมดเลย แต่ไหนๆก็มาแล้ว ระยะทางไม่ไกล ก็เลยไปต่อ เปิดประตูรถลงมาก็เจอลมพัดแรงมาก แรงแบบจะพัดให้ปลิวให้ได้ และลมเย็นมากจนหนาว มองไปก็มีเหมือนพนักงานจัดปาร์ตี้กันเองหกเจ็ดคนในร้านอาหาร กับโต๊ะที่เขายกไปเก็บหมดแล้ว รถคันข้างๆมองแบบว่าขึ้นมาทำไรกัน แล้วก็ขึ้นรถตัวเองไปซดมาม่ากันสองคน แต่ไหนๆก็ขึ้นมาแล้ว เลยเดินไปดูวิวสักหน่อย วิวสวยดี แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะลมแรงและหนาวมาก เลยกลับลงไป


จุดหมายต่อไปคือ Fudosawa Bridge สถานที่ท่องเที่ยวในถนน Bandai Azuma Skyline หาได้ตามรีวิวเยอะมาก ก็เลยตั้งใจจะตามไป พอกดปลายทางใน Map ของรถ มันให้เราไปทางแปลกๆ และมีจุดกากบาทแดงๆบนจอ เราก็เลยเปลี่ยนไปพึ่ง Google Maps แทน เพื่อจะไปเส้นทาง Bandai Azuma Skyline ที่ตั้งใจไว้ ขับไปได้ไม่ไกลก็เจอลุงนั่งขวางพร้อมป้ายใหญ่ๆกั้นทางไว้ว่าไม่ให้ไป สืบทราบได้ว่ามีโอกาสที่ภูเขาไฟจะปะทุ เลยปิดทางเพื่อป้องกันความเสี่ยง แล้วก็ปิดมาแล้วตั้งแต่กันยายน โอ้ว ใครจะไปรู้เนี่ย เลยต้องกลับลงมาหาทางใหม่ ซึ่งสำหรับใครที่จะตามไปดู ขอให้เช็คสถานการณ์ของภูเขาไฟก่อนนะ


ทางลงกลับมาเราได้เล็งเห็นร้านขายแอปเปิ้ลที่เรียงรายตอนขาขึ้นไว้ ว่ามันน่าลองซื้ออยู่ เรียงเหมือนบ้านเราที่จะมีเรียงขายโรตีสายไหม ไม้กวาด หรือหนูย่างแบบนั้นเลย ลงมาแวะร้านลุงคนนึงราคาอยู่ที่ 2 โล 1,000 JPY นับว่าราคาถูก เมื่อเทียบกับซื้อในร้านผลไม้ เจ๊คนขายบรรจงล้างมืออย่างสะอาดแล้วปอกให้ชิม ร้านนั้นมีพันธุ์ 陽光 (Youkou) กับ ふじ (Fuji) ให้ชิม รู้สึกว่า Fuji อร่อยกว่า บางลูกมีวงน้ำผึ้งหน่อยๆด้วย ซื้อมา 8 โลได้มั้ง ลุงเลยแถมให้อีกเยอะมาก เป็นลูกที่ไม่ค่อยสวย เหมือนลุงคัดทิ้ง ลูกแถมรสชาติแล้วแต่ดวง แต่ถุงที่ซื้อรสชาติดีทุกลูกนะ ถือว่าคุ้มอยู่ที่ได้ลงมาแวะ

ใกล้เที่ยงแล้วก็เลยหาอะไรกินก่อน เราก็พึ่ง Tabelog เหมือนเดิม ได้ร้านราเมง ซึ่งตอนแรกก็ไม่ค่อยหิวกันอยู่แล้ว เลยสั่งแค่สองเซ็ท พนักงานก็แบบสองเซ็ทนะ ทำหน้าแบบว่ามาตั้งเยอะ เอาแค่นี้หรอ แต่พออาหารมาก็คือคิดถูกแล้วที่สั่งแค่นั้น เพราะชามใหญ่มาก ใหญ่กว่าหน้าอีก พอกินอิ่มแล้วก็ขับไปขึ้นทางด่วนเพื่อเข้าที่พักอีกทางหนึ่ง ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะปลายทางด่วนนั้นยังสามารถไป Bandai Azuma Lakeline ได้ ตามทางจะมีจุดแวะพักให้ถ่ายรูปได้ตลอดทาง มีจุดแวะพักใหญ่มีร้านอาหารด้วย มีทางเดินขึ้นเขาไปดูวิว แต่เย็นแล้ว ไม่กล้าขึ้น เส้นทางพวกนี้ถ้าเห็นใครจอดข้างทางแล้ววิวสวยก็จอดตามเขาไปถ่ายรูปได้เลย

ถึงที่พักก็ค่ำๆแล้วพระอาทิตย์กำลังตก ร้านอาหารก็ปิดแล้ว มื้อเย็นเลยได้กินขนมปังที่ซื้อมาตอนเที่ยง กับแอปเปิ้ลลุงนั่นแหละ อิ่มๆกันไป แต่ขนมปังอร่อยนะ ลองแวะชิมได้
Day 4 : Urabandai
วันนี้จะไปเที่ยวบึงน้ำ 5 สี Goshikinuma ที่โด่งดัง เปิดมาทางเข้าคือมีต้นที่ใบไม้แดงฉ่ำๆให้เราถ่ายรูปก่อนเลย แล้วก็วิวที่เห็นทะเลสาปกว้างๆ แต่พอเริ่มเดินเข้าไปตามทางก็นะ ร่วงหมดแล้ว ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ก็ว่าใครไม่ได้ เรามาช้าเอง แวะกินข้าวเที่ยงที่ปลายทางของทางเดินชมบึงน้ำห้าสีแล้วนั่งบัสกลับโรงแรม


บ่ายนี้ว่าง หมอกลง ฝนตกปรอยๆ เลยเปิดหารีวิวว่ามีที่ไหนให้ไปอีก ไปเจอรีวิวที่แนะนำให้แวะกินกาแฟที่ร้าน MOTO Coffee เลยตามไปดู กาแฟเขาดีจริง ร้านก็น่ารัก ลองสั่งเมนูที่ชื่อยากๆ ( ジブラルタル - Gibraltar) ก็อร่อยมาก ชีสเค้กควรลองชิม ของเขาดีจริง อีกอย่างคือเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้ดีเลย ร้านนี้ติดดาวให้

ออกเดินทางต่อเห็นว่าขับไปอีกหน่อยมันจะเป็นถนนไปวนรอบ Lake Hibara ได้ ไหนๆก็ว่างอยู่แล้วเลยวนดูสักหน่อยคงไม่เสียหาย ผลคือสวยจริงๆ ใบไม้ยังแดงฉ่ำ กับวิว Lake ข้างหลังเข้ากันเหลือเกิน ถึงแม้จะมีฝนปรอยๆ หมอกลง ถ่ายรูปไม่สวยเท่าไหร่ แต่ภาพที่เห็นมันดีมาก


กว่าจะวนครบรอบก็ดึกอีกแล้ว ต้องหามื้อเย็น ร้านอาหารก็ปิดหมดแล้ว ไม่งั้นต้องไปกินในโรงแรม เลยคิดว่าถ้ามีร้านขนมปังดีๆอีกก็คงจะดี Google เจอร้านที่อยู่ใกล้ MOTO Coffee นั่นแหละ เป็นร้านเบเกอรี่ที่น่ารักมากๆ เข้าไปตอนร้านจะปิดแล้ว ลุงกับป้ากำลังเตรียมข้าวเย็นอยู่ แกงกะหรี่หอมเชียว แต่ป้าไม่ขายข้าว ป้าขายขนมปัง ลุงชวนดื่มชาร้อนๆด้วย หม้อต้มน้ำเขาคูลมาก ต้มบนเตาถ่านแบบโบราณ ไม่รู้โบราณจริงไหมแต่ก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ป้าอุ่นครัวซองต์ให้ร้อนๆแล้วยังแถมขนมปังถั่วแดงให้อีก มื้อเย็นเลยจบที่ขนมปังและผลไม้เหมือนเดิม

Day 5 : Urabandai — Aizuwakamatsu — Shiobara Onsen


วันนี้ออกเดินทางออกจาก Urabandai โดยใช้ Bandaisan Gold Line เข้าสู่ Aizuwakamatsu แวะเที่ยววัด Sazaedo นิดหน่อย อย่างที่บอกว่าถ้าไม่รู้ความพิเศษของวัดเนี่ย เราก็จะเฉยๆ เหมือนไปเดินวัดธรรมดา แต่ความพิเศษของที่นี่คือสถาปัตยกรรมของเจดีย์ โดยเป็นเจดีย์ไม้ทรงหมุนวน เป็นเกลียวแบบ Double Helix ขึ้นไปถึงยอด และวนลงมาโดยที่เราจะไม่เดินสวนกับคนที่เดินขึ้นไป ถือเป็นความน่าสนใจอีกแบบของการเที่ยววัดในญี่ปุ่น

ตอนเที่ยงไปหาร้านหมูทอดขึ้นชื่อของ Aizuwakamatsu มันมีหลายร้านมาก แต่สุดท้ายก็เลือกไปร้าน Nakajima เพราะสามารถขับรถเนียนไปจอด Supermarket ใกล้ๆได้ กลัวที่ร้านจะไม่มีที่จอด ซื้อของในร้านนิดหน่อยแล้วก็เดินไปร้านหมูทอด ไปถึงร้านตอน 11:45น. ก็ต้องคิวแล้ว ได้เป็นคิวที่สอง รอไม่นานมาก พวกร้านที่ต้องต่อคิวมักจะมีกระดาษให้เขียนชื่อแล้วก็จำนวนคนด้วย อย่าลืมไปเขียนล่ะไม่งั้นเขาอาจจะไม่เรียกคิวเรานะ เคยไปยืนต่อคิวงงๆ แล้วเขาก็ไม่เรียกซะทีมาแล้ว เมนูมีไม่กี่อย่าง รูปก็ไม่มีก็เดาๆไป เล่าเสร็จอาหารก็มาพอดี เป็นข้าวหมูทอด Sauce Katsu น้ำซอสเข้มข้นแต่ไม่เค็มจนเกินไป ทอดมากำลังดี เนื้อหมูมีหลายราคา ตามความหนานุ่มของเนื้อแต่ละส่วน ติดดาวให้อีกร้าน แนะนำให้ไปลองถ้าได้ผ่านมาแถว Aizu

รอบบ่ายมีอีกหลายที่ในแพลนเที่ยว เลยแค่ขับรถวนดูรอบปราสาท Tsuruga ข้างนอก แล้วมุ่งหน้าไปหมู่บ้านโบราณ Ouchi Juku ระหว่างทางขับผ่านเขื่อน Ouchi Dam เลยแวะถ่ายรูปกันเล็กน้อย Ouchi Juku เป็นหมู่บ้านตั้งแต่สมัยเอโดะ ยาวเรียงรายต่อกันประมาณ 500 เมตร มีของขายตลอดสองข้างทาง ตั้งแต่ของฝากท้องถิ่นไปจนถึงขนมดังโงะ ปลาย่าง และโซบะ ขับรถต่อไปอีกนิด ไปที่ Tō-no-Hetsuri เป็นภูเขาที่มีรูปร่างแปลกตา เกิดจากการทับถมของหินภูเขาไฟ บอกแค่นี้แหละ อยากได้แบบละเอียดไปหาอ่านเอาในวิกิพีเดีย



ออกจาก Tō-no-Hetsuri ก็มุ่งหน้าเข้าโรงแรมเลย เพราะโรงแรมอยู่อีกไกลพอสมควร กลัวไปไม่ทันมื้อเย็น จริงๆอยากนอนที่ Aizu แต่ก็โรงแรมราคาดีเต็มไปหมด เลยต้องไปนอน Shiobara Onsen แทนซึ่งเป็นทางผ่านที่จะลงไป Nikko อยู่แล้ว คืนนี้เป็นที่นอนที่ไม่มั่นใจที่สุดเพราะตอนจองเขียนว่าไม่มีห้องน้ำในห้องพัก ต้องใช้ห้องน้ำรวม รวมคือรวมแบบอาบๆอยู่ใครจะเข้ามาอาบด้วยข้างๆก็ได้ เป็นแนวของญี่ปุ่นเขา ในเว็บก็เขียนไม่ชัดเจนด้วยว่าห้องน้ำรวมสามารถล๊อกประตูให้เป็น Private ได้รึเปล่า รู้ว่าห้องพักทั้งหมดมีแค่ 5 ห้อง กับรูปของโรงแรมในเวปจองแค่นั้นเลย ไปถึงที่พักเขาออกมาต้อนรับดีมาก คล้ายๆว่าเป็นธุรกิจครอบครัว สามี-ภรรยาช่วยกัน พูดอังกฤษไม่ได้พยายามจะสื่อสาร ให้เข้าใจ สุดท้ายห้องน้ำสามารถเอาป้ายห้อยเพื่อเป็น Private ได้ก็รอดตัวไป ได้แช่ออนเซ็นแบบส่วนตัวอีกคืน มื้อเย็นกินที่โรงแรมเลยเพราะจองมาแล้ว คื้นนี้ถือเป็นอีกคืนที่ดีในทริปนี้เลย ตอนจะกลับเขาฝาก Bath Salt ที่เป็นกลิ่น Onsen ของโรงแรมเขามาให้ด้วยคนละห่อ เขาบอกว่าลูกมาแลกเปลี่ยนที่ไทย แล้วก็เอารูปลูกถือกล่องเค้กของโรงแรมชื่อดังในไทยมาให้ดู สุดท้ายเลยไม่รู้ว่าสรุปลูกเขามาแลกเปลี่ยนที่ไหน

Day 6 : Shiobara Onsen — Nikko
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ออกจากที่พักเป็นกรุ๊ปสุดท้าย มุ่งหน้าสู่ Nikko โดยใช้ถนน Nichien Momiji Line (ทางเสียเงิน ไม่รวมใน ETC) แพลนตอนแรกคือเอารถไปจอดที่โรงแรม แล้วเดินเที่ยว Nikko กับหาของกินแถวนั้น แต่เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ คนญี่ปุ่นเองก็มาเที่ยว เพราะเป็นที่ๆใกล้ Tokyo ด้วย ทำให้รถติดแบบขยับไม่ได้เลย

หลังจากพยายามหาทางลัดแต่ก็หาไม่ได้ แล้วก็ใกล้เที่ยงแล้ว ทุกคนเริ่มหิว เลยตัดสินใจขับย้อนกลับไปหาข้าวเที่ยวที่ห่างออกไปอีกหน่อย เปิด Tabelog เจอร้านปลาไหลชื่อ Unagi Uotoku รีวิวดี ดาวเยอะ เลยแวะกินข้าวเที่ยงที่นี่ รอคิวไม่นานมาก เป็นร้านที่ดีอีกแล้ว ปลาไหลละมุน ซอสดี แต่โดนค่าเสียหายไปหนักอยู่ (ดูเมนูและราคาได้ที่นี่) เที่ยงนี้อิ่มมากเพราะสั่งเมนูที่เขียนว่า For 2 people คือมันใหญ่จริงๆ มาเป็นขนาดประมาณกาละมังเล็กๆของบ้านเราเลย 3–4 คนกินยังได้อะ

กลับเข้า Nikko รถเริ่มน้อยลง แต่ก็ยังต้องหาทางลัดเพื่อเข้าโรงแรมอยู่ดี กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบบ่ายสองได้ พนักงานโรงแรมบอกว่า รถติดแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือเดิน เลยต้องเดินไปไกลอยู่กว่าจะถึงศาลเจ้า ศาลเจ้า Nikko Toshogu เป็นศาลที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่โชกุน Leyasu Tokugawa ภายในใหญ่โตมากจนสงสัยว่าในสมัยนั้นถูกสร้างได้ยังไง มีจุดที่น่าสนใจหลายจุดภายในศาลเจ้า ไปหาอ่านเอาเองได้ ที่สังเกตได้แล้วไม่มีบอกใบเว็บคือเครื่องราง เครื่องรางบางอย่างไม่ได้มีขายทุกซุ้มในวัด ฉะนั้นอยากได้อะไรแนะนำให้ซื้อเลย ราคาเท่ากัน ยกเว้นของคล้ายๆกันนอกวัด แต่มันก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ไง เช่น พวงกุญแจกระดิ่งแมว จะมีแค่ข้างบนที่เดินขึ้นบันไดไปสูงๆ บริเวณ Okumiyahaiden หลังจากเดินผ่านประตูที่มีแมวเฝ้าไปแล้วเท่านั้น เดินลงมาแล้วอยากได้ ไปตามหาแต่ก็ไม่มี แต่จะให้ขึ้นไปใหม่ก็ไม่อยากต่อแถวแล้ว ภายในมีการปิดเพื่อทำนุบำรุงหลายจุด แต่ก็จะทำไปเรื่อยๆไปจนถึงปี 2019 ก็จะเสร็จ 1 Phase แล้วก็จะทำ Phase ต่อไปอยู่ดี กว่าจะออกจากศาลเจ้าก็เกือบ 4 โมงแล้ว ใกล้เวลาที่ศาลเจ้าจะปิดพอดี เลยเดินลงมาดูสะพานแดง Shinkyo Bridge ที่เหมือนเป็น Landmark ของ Nikko ก็ว่าได้ มาดูแบบเปิดไฟตอนมืดๆ ก็ได้ฟีลอีกแบบ และเนื่องจากมื้อกลางวันแน่นมาก มื้อเย็นเลยจบที่ข้าวกล่อง LAWSON กับผลไม้ที่ห้อง


Day 7 : Nikko — Chuzenji Lake — Yumoto Onsen

เช้านี้ตื่นมาเปิดผ้าม่านห้องพักก็เห็นวิวใบไม้แดงกับภูเขาแล้ว วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างว่าง เพราะคืนนี้ก็นอนแถว Nikko เหมือนเดิม แต่ขยับขึ้นไปอีกโซนนึง ตอนเช้าเลยขับรถลงไปจอดใกล้ๆ Shinkyo Bridge แล้วเดินไปเก็บที่เที่ยวแถวๆ Toshogu นั่นแหละ ยังมีอีกสองสามวัดที่ยังไม่ได้เข้าไปดู วันนี้เป็นวันจันทร์แล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างชาติที่นั่งรถไฟหรือรถทัวร์มา ที่จอดรถก็เลยหาได้ง่ายขึ้น ที่แรกที่คิดว่าจะไปคือ Rinnoji Temple แต่ตอนนี้ปิดซ่อมแบบไม่เห็นวิวข้างนอกเลย เข้าไปดูข้างในได้เหมือนเดิม ซึ่งรู้เลยว่าจะไม่อินแน่ๆ เพราะถ่ายรูปก็ไม่ได้ ข้างในไม่ได้อ่านมา เลยไม่เข้าดีกว่า ต่อมาคือ Futarasan Shrine ที่กำลังจะเข้าแต่ฝนก็ตกพอดี สรุปเลยไม่ได้เข้าสักวัดเลย ถึงจะไม่ได้เข้าวัดแต่วิวระหว่างทางเดินก็ทำให้อิ่มใจได้แล้ว เพราะต้นไม้แถวนี้เค้ารักษาไว้ดีมาก มีความเขียวสูง แต่ละต้นคือลำต้นใหญ่มากๆแบบที่ว่า 1 คนโอบไม่พอ แล้วมีต้นไม้ใหญ่ๆแบบนี้เรียงยาวตลอดทางเดิน



ออกจากโซนวัด มุ่งหน้าสู่ Chuzenji Lake กับน้ำตก Kegon Falls ทางที่ขึ้นไปจะเป็นทางเลาะเขา Irohazaka Road เป็นถนนที่พับไปพับมาเหมือนผ้าพับไว้ สองข้างทางมีวิวใบไม้แดง (ที่ดูมาทุกวันจนเริ่มเบื่อแล้ว) ขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆหมอกเริ่มลง และฝนตกปรอยๆ เลยแวะพักซื้อขนมกินตรงที่มี Ropeway ให้ขึ้นไปชมวิว คนตากฝนต่อแถวขึ้น Ropeway เยอะมาก งงเหมือนกันว่าเขาจะเห็นอะไรไหมเพราะหมอกหนาและฝนตกหนักชึ้นเรื่อยๆ เลยขับรถต่อขึ้นไป


จริงๆแล้ว Mission ของวันนี้คือไปกินข้าวหมูทอด ร้านที่อยู่ตรงข้าม Chuzenji Ferry Terminal ความพิเศษคือทั้งร้านมีแค่ 6 ที่นั่ง ต้องต่อคิวเข้าไปกิน คนออกจากร้านกี่คนก็เดินเข้าไปเท่านั้น ไปถึง 11:30 ก็ได้ต่อคิวแล้ว รอประมาณครึ่งชั่วโมงคนแรกก็ได้เข้าไปสั่ง เข้าไปในร้านทุกคนทำหน้าเฉยแบบไร้อารมณ์มาก ป้าเอาน้ำมาวางตรงหน้าแล้วให้เราสั่งอาหาร สั่งเสร็จลุงแกก็เริ่มบรรจงทอดหมูทีละชิ้นๆ ลูกลุงเตรียมของโน่นนี่ พอลุงแกใกล้จะเสร็จป้าถึงจะเปิดหม้อข้าวตักข้าวให้เรา ทุกคนทำงานประสานกันแบบไม่ต้องพูดกันเลย แต่สุดท้ายกินแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ทุกคนลงความเห็นว่าร้านที่ Aizu อร่อยกว่า ถึงราคาที่นี่ถูกกว่าก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าเฉยๆ แต่เดินออกมาจากร้านก็ยังมีคนต่อแถวเป็นสิบคนเลยทีเดียว

กินอิ่มแล้วได้เวลาเดินเที่ยว เดินข้ามฝั่งไปก็เป็น Chuzenji Lake แล้ว เราสามารถเดินเลาะชมวิวทะเลสาบไปเรื่อยๆ หรือสามารถขึ้นเรือชมวิวก็ได้ เรือจะพาไปวนรอบทะเลสาบ มีหลายราคาแล้วแต่ว่าวนรอบใหญ่หรือรอบเล็ก แต่เนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็นใจเท่าไรไหร่ เลยตัดสินใจเดินไปดู Kegon Falls ดีกว่า ตลอดทางเดินก็จะเป็นร้านอาหารและของฝากให้จับจ่ายเลือกซื้อ มีตั้งแต่ร้านขายของพวกไม้แกะสลัก หน้ากากฮันเนีย พวงกุญแจ จนถึงร้านขนมและร้านกาแฟ ก่อนกลับไปแวะนั่งร้านกาแฟที่มีที่นั่งชมวิว Chuzenji Lake ให้ไกล้เวลา Check-in โรงแรมก่อนค่อยออก


คืนนี้นอนที่ Yumoto Onsen เป็นเมืองออนเซ็นเล็กๆอยู่หลังของอุทยานแห่งชาติ Okunikko ระหว่างทางมีที่จอดแวะถ่ายรูปนิดหน่อย มีน้ำตกให้เที่ยว แต่ว่าเหนื่อยกันแล้วก็เลยเข้าโรงแรมไปพักผ่อนดีกว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายในเส้นทางชมใบไม้แดงแล้ว เลยถือโอกาสพักผ่อนให้สบาย แช่ออนเซ็น กินมื้อเย็นแบบญี่ปุ่นอีกหนึ่งคืนก่อนจะกลับสู่ Tokyo
Day 8 : Yumoto Onsen — Kamakura — Tokyo
อาหารเช้าของโรงแรมวันนี้มีน้ำแอปเปิ้ลจากอาโอโมริให้ด้วย เป็นน้ำแอปเปิลสีขุ่นๆ ที่มีความหอมนำและหวานตาม ไม่เหมือนน้ำแอปเปิ้ลใสๆเหมือนที่เรากินทั่วไป อยากรู้เป็นยังไง ไปลองหาซื้อได้ ที่ไทยมีขายรสชาติเหมือนกัน ลิตรละเกือบ 300 บาท วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะมีรถแล้ว เลยถือโอกาสขับรถเลย Tokyo เพื่อไปไว้พระ Daibutsu ที่ วัด Kōtoku-in เมือง Kamakura เลยละกัน พอเริ่มเข้าเขต Tokyo ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักจนเริ่มมองไม่เห็นทาง ถึงโตเกียวเลยลอดอุโมงค์ใต้ดินที่ยาวจนลอดทะลุเมืองไปออกอีกฝั่งหนึ่งของเมืองเลย ทำให้การเดินทางเป็นไปได้รวดเร็ว (เมือเทียบกับต้องรถติดอยู่บนนถนนในโตเกียวในวันฝนตก) แวะกินมื้อเที่ยงที่ Mother’s of Kamakura ก่อน เป็นร้านสเต็กที่จะมีเชฟมาย่างเนื้อตรงหน้าแล้วหั่นใส่จานเราเลย สั่งเป็นคอร์ส ราคา 3,000 - 5,000 JPY ต่อคน แล้วแต่ความพรีเมี่ยมของเนื้อ หรือถ้าไม่กินเนื้อก็มีชุด Seafood ด้วย เชฟจะเอาผักและเนื้อมาย่างโชว์ เล่นเคาะเกลือ พริกไทย ใส่เนื้อ โยนขวดแล้วเคาะให้เป็นจังหวะ กินไปดูไปก็สนุกไปอีกแบบ

ออกจากร้านอาหารก็ไปไหว้พระต่อ ไหว้พระก็ปกติทั่วไป แต่ที่อยากบอกคือ ที่จอดที่ใกล้ๆที่ท่องเที่ยวราคาจะค่อนข้างแพง คิดเป็นหน่วยแบบครึ่งชั่วโมง หรือกี่นาทีก็ว่าไป หน้าวัดนี่ราคา 400 JPY ต่อครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว เลยต้องทำเวลากันหน่อย ถ้ามัวอ้อยอิ่งจะเสียตังฟรี ไหว้พระเสร็จหมดงานเที่ยวแล้วก็กลับเมืองหลวงของเราดีกว่า

กล้บมาถึง Tokyo ในเมืองรถติดสมคำร่ำลือ มาคืนรถแถวๆโรงแรม ต้องเติมน้ำมันให้เต็มก่อนเอารถเข้ามาคืนด้วย มาถึงก็รอให้เขาตรวจรับรถ กับจ่ายค่าทางด่วนที่ใช้ไป ทริปนี้ขับไปทั้งหมด 1,344 Km ค่าน้ำมันประมาณ 16,000 JPY ค่าทางด่วน 18,460 JPY
คืนนี้นอนที่ Toyoko Inn เป็นโรงแรม Chain ที่มีสาขาทั่วญี่ปุ่น ห้องและรูปแบบจะคล้ายๆกันทั้งประเทศ ห้องสะอาด ราคาเป็นมิตร ถ้าไปบ่อยๆ แนะนำให้สมัครสมาชิกจะได้ส่วนลดด้วย ยิ่งเสาร์อาทิตย์ยิ่งลดเยอะ จองออนไลน์ก็ง่าย ไม่ต้องจ่ายก่อน จองเผื่อได้นาน ยกเลิกไม่เสียเงิน ฝากกระเป๋าทิ้งไว้ได้ แต่ความที่ราคาเป็นมิตร อาหารเช้าก็จะง่อยๆหน่อย ออกแนวมังสวิรัติ เคยเจอเหมือนผัดไก่ซีอิ้ว แต่ไม่ใช่ไก่ เป็นเต้าหู้ ก็อร่อยอีกแบบนะ อร่อยกว่าไก่ปลอมช่วงกินเจ มีไข่เป็นมาตรฐานทุกวัน ไม่ไข่ม้วนก็ Scrambled Egg วันไหนโชคดีก็จะมีไส้กรอกมาบ้าง แต่โดยรวมแล้วดี ไปบ่อยๆก็จะคุ้นเคย

คราวนี้นอนแถว Ikebukuro ซึ่งออกจะเป็นแนวถนนโลกีย์หน่อยๆ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอันตราย อยู่แถวนี้ก็สะดวก มีเกือบทุกร้านที่อยากไป เดินไปสถานีก็มีห้าง เดินให้ครบทุกห้างก็สองวันยังไม่น่าพอ ร้านอาหารดังๆที่คนชอบไปก็มีอยู่ใกล้ๆ เช่นร้าน Ichiran Ramen - ราเมงข้อสอบของแท้(ที่มีร้านที่ไทยก๊อปมาทำคล้ายๆกัน), ร้าน Nabezo - ชาบูต้นตำหรับของ Momo Paradise (จริงๆเมืองไทยก็มี แต่แพงกว่า แล้วก็ไม่เป็นบุฟเฟต์ด้วย)
Day 9–10 : Tokyo
สองวันสุดท้ายก็เที่ยวในโตเกียวแบบชิวๆ เดินซื้อของซะเป็นส่วนใหญ่ ที่เที่ยวที่ไปก็จะมีวัด Asakusa ที่เจอคนไทยเยอะพอๆกับเราเดินเจอคนจีนในพารากอน แหล่งช้อปปิ้งก็ตึกม่วง Takeya ที่ Ueno, เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีร้าน Big Camera กับ Yodobashi อยู่ทั่วเมือง ร้านพวกนี้ส่วนใหญ่มีส่วนลด ให้เราปริ้นท์คูปองไปใช้ที่ร้านได้ (Takeya, Big Camera), ตลาด Ameyoko ที่ Ueno, ร้านขายยาทั่วไป แนะนำให้เดินเช็คราคาก่อน แต่ละร้านจะมีของถูกเป็นตัวชูไม่เหมือนกัน แล้วก็ไปขายอย่างอื่นแพงแทน ถ้าซื้อแล้วไปเจอถูกกว่าจะเจ็บใจเปล่าๆ, ร้านร้อยเยน, Tokyo Hands, Loft, ร้าน Shop ของ Brand Name ตามห้างใหญ่ๆ, Apple Store (เมืองไทยเพิ่งเปิดหลังจากกลับมา) และอื่นๆตามศรัทธา หลังจากซื้อของจนตัวเบา เราก็กลับไทยได้อย่างสบายใจ


อีกนิดก่อนจบ
เรื่องที่จอดรถ ที่เที่ยวใหญ่ๆมักมีที่จอดรถให้ บางที่ก็ฟรี บางที่ก็เสียเงิน แต่ถ้าไม่มี ใน Navigator ของรถมันมีปุ่มกดขึ้นมาได้ว่ามีตรงไหนที่จอดได้บ้าง ที่จอดจะมีเป็นแบบที่จอดแบบต้องกดตู้จ่ายเอง มีวิธีสอนจอดอยู่ใน YouTube เหมือนเดิม แต่ที่ไปครั้งนี้ไม่ได้จอดแบบนั้นเลย เอาง่ายคือถ้าวนๆดู มันจะมีจอดที่เป็นคนเก็บเงิน มักเป็นลุงๆ หรือป้าๆนั่งเฝ้า ก็สะดวกดี บางที่เขาจะขอกุญแจไว้ด้วย ไม่ต้องกลัวโกงเพราะมีใบเวลาให้ เรา เวลาคิดเงินกดก็กดเครื่องคิดเงินเลย
เรื่องเลี้ยวซ้ายที่ญี่ปุ่นต้องรอไฟแดงนะ ไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด แต่อันนี้ยังคงงงอยู่ เคยโดนรถข้างหลังลงมาเคาะกระจกทีนึงด้วยแถวชนบท แล้วบางแยกก็เห็นคนเลี้ยว ทั้งที่ไม่มีไฟเขียวเลี้ยวซ้ายด้วย แต่ที่แน่นอนคือคนใหญ่ที่สุด เห็นคนเดินต้องหยุด บางคนเขาจะไม่ค่อยระวังเราด้วย คนเดินใหญ่สุดที่นี่ เราต้องระวังคนให้ดี
เรื่องสภาพอากาศเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากมาก ถึงเราจะเช็คไปแล้ว แต่ถ้าฝนมันจะตกก็คือตกแหละ ทำอะไรไม่ได้ ควรเตรียม Plan B เผื่อไปด้วย ง่ายๆคือห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขนม ร้านกาแฟที่นั่งได้นานๆ ขนมอร่อย หรือวิวสวยก็ได้ แล้วก็มองมุมกลับ ปรับมุมมองของตัวเอง ว่าวิวแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบก็จะช่วยได้เยอะ 555 จะสังเกตเห็นได้ว่ารูปที่ถ่ายมาเองจะเป็นรูปที่ฝ้าขุ่นๆ เมฆเยอะๆซะส่วนใหญ่ ถึงวิวจะไม่สวยมาก แต่ก็เอาความสนุกของการเดินทาง นั่งคุยเล่นกันบนรถมาช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้
แล้วก็อยากเล่าเรื่องผลไม้ ด้วยความโลภ วันแรกซื้อองุ่นมา ด้วยความที่มันถูก น่าจะ 2 โล 1,000 JPY เม็ดเล็กหน่อย กัดไปครั้งแรกจะหวานมาก แล้วมีข้างในเป็นเนื้อเยลลี่เปรี้ยวๆ แล้วพี่แกไม่แบ่งขาย ต้องซื้อ 2 กิโล ชื่อพันธุ์ スチューベン (Steuben) แต่มันมีเม็ดไง ทำให้กินได้ช้า ต้องนั่งคายเม็ด แล้วกินเยอะๆเริ่มหวานจนแสบคอ เลยอยากให้เป็นข้อคิดเตือนใจ ว่าอย่าโลภ !
สรุปราคาต่อคน

* อัตราแลกเปลี่ยนช่วงที่ไปอยู่ที่ประมาณ 100 JPY = 29 THB
** รายการใช้จ่ายทั่วไปคือพวกของฝากเล็กน้อยตามที่ท่องเที่ยว ไอศครีมโคนที่มีขายทุกที่ในญี่ปุ่น น้ำ ขนม กาแฟ ของใน 7–11 ไม่รวมรายการช๊อปปิ้งจริงจัง เช่น รองเท้า กระเป๋า ยา ของฝากที่สนามบิน และอื่นๆ
*** โรงแรม 9 คืน, รถ 8 วัน, กินอยู่ 10 วัน
ขอปิดทริปแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่อ่านกันจนมาถึงตรงนี้ บทความนี้เขียนเป็นครั้งแรก ถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับ หวังว่าจะเป็นแนวทางให้คนที่อยากไปได้บ้าง มีคำแนะนำอะไรคอมเม้นต์ไว้ได้เลย ยินดีรับทุก Feedback เลยครับ